วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 17 แขวนลอย

เศษละอองลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว แขวนลอยอยู่ตามการเคลื่อนไหวของน้ำ
เมื่อน้ำหยุดนิ่ง แรงโน้มถ่วงจากพื้นดินพาลงมาสู่พื้นผิว

ความร้อนเริ่มจาง แสงเริ่มเปลี่ยนสี ยามเย็นกลับมาเยือนอีกครั้ง แสงสุดท้ายส่องสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับดูสวยเพลินตา ความสงบนิ่งของสิ่งรอบข้าง ทำให้ใจรู้สึกสงบ ลมพัดเย็นเอื่อย ๆ ทำให้ใบไม้พริ้วไหวอย่างนุ่มนวล เหมือนไม่มีการขยับเขยือน แต่ความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาแม้ยามหลับไหล เหลือเพียงแต่ว่า.......เราจะทันสังเกตุทันไหม


ความสุขจากความสันโดดเป็นสิ่งล้ำค่า ภาพแสงกระทบผิวน้ำเบื้องหน้าช่างดูเพลินตา มองไกลออกไปจนสุดระยะที่สายตาจะมองเห็นได้ ก้มต่ำมาเบื้องหน้า สายตามองด่ำดิ่งลึกลงไปใต้ผิวน้ำ กลับไม่เห็นความงามเหมือนความระยิบระยับบนผิวหน้าระยะไกล ฉันก้มมองลงวัตถุสีเข้มที่ลอยอยู่ในน้ำ ความจริงที่มองลึกลงไป คือ....น้ำไม่ได้ใสเหมือนน้ำในขวดบรรจุขาย

ตะกอนดินเล็ก ๆ ที่แขวนลอยกระจายตัวไปทั่ว ให้ตักมาพักไว้ในอ่างคงต้องรอเวลานานกว่าตะกอนดินจะค่อย ๆ ร่วงตกลงตามแรงโน้มถ่วงสู่พื้นภาชนะ พลันให้ใจฉุกคิดถึงภาพสวยงามภายนอก ภาพที่มองจากระยะไกล ภาพวิวที่สวยงามคงเหมือนผู้คนที่มองผ่าน ๆ เพียงฉาบฉวย ที่ดูสวย มองเพลินอย่างไร้ที่ติ แต่เมื่อมองลึกลงไปในจิตใจกลับเริ่มเห็นความขุ่นมัว ความขุ่นที่แตกต่างกันไป

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 16 โลกในกระจกเงา

เพ่งพินิจครุ่นคิด เงาในกระจกที่เคร่งเครียด ไร้ซึ่งอารมณ์

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นทุกเช้า เรียกให้ตื่นรับการทำงานอีกครั้ง ไม่รู้ว่าใครเป็นเหมือนฉันไหม ที่ทุกวันจะรู้สึกตัวก่อนเสียงนาฬิการ้องเรียก แต่ร่างกายกลับก็ไม่อยากขยับออกจากเตียง ปลายนิ้วค่อย ๆ เลื่อนเวลาออกไป การต่อเวลาเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าได้พักเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย แม้จะรู้ว่าไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่เคยหักล้างพฤติกรรมออกไปได้


เพียงไม่นานนัก ร่างที่ดูเหมือนถูกแกะออกจากการหยุดเคลื่อนไหวนานกว่า 6 ชั่วโมงก็ค่อย ๆ ลากตัวเองขึ้นมาอย่างช้า ๆ เริ่มดำเนินกิจกรรมไปตามความเคยชิน ฉันไม่ได้มองตัวเองในกระจกบ่อยนักโดยเฉพาะช่วงเช้า เป็นเพราะใบหน้าที่ดูไม่เป็นมิตรสะท้อนเข้ามาในดวงตา ใครบางคนแสดงอาการไร้พลังอยู่ตรงหน้า หนังตาที่ดูบวมเล็กน้อยทำให้ตาหรี่เล็กลงไปกว่าเดิม แม้การแปรงฟันก็ยังดำรงซึ่งความคิดหมุนวนไปเรื่อย ๆ รู้แค่เพียงว่า ถ้าเริ่มใช้ชีวิตมากขึ้น ใบหน้าจะสดใสตามเวลา

บางครั้งฉันก็ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่คิดอยู่เป็นความเชื่อที่จำกัดหรือไม่ กับการที่ต้องรอให้พลังชีวิตเพิ่มขึ้นพร้อมกับการทำงาน ฉันเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า.......จะมีคนจำนวนสักเท่าไหร่ ที่ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นทันที ฉันก้มลงจัดการอาหารเช้าต่อไปเพราะรู้อยู่ในใจว่าคงไม่มีคำตอบ


สมองแร้น ความคิดหลั่งไหล ทันทีที่เปิดคอมพิวเตอร์ กลับกลายเป็นความอัตโนมัติในการดูกล่องข้อความ การติดตามงาน และถ้าโชคดีแล้วล่ะก็......ต้องมีจดหมายจากใครสักคนที่ต้องการงานด่วนแบบไม่ต้องสอบถามว่า.....สะดวกทำงานนี้ไหม 

เมื่อวงจรการทำงานวนซ้ำรูปแบบเดิม การรับมือกับชีวิตรูปแบบเดิมมักจะเกิดเป็นนิสัยหรือรูปแบบการทำงานเฉพาะตัว มันเป็นเรื่องน่ากลัวที่รูปแบบเฉพาะตัว อาจถูกสร้างมาในรูปแบบที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะแม้โลกภายนอกนำเสนอโจทย์ใหม่ แต่ระบบการคิดและตอบสนองกลับยังคงทำให้รูปแบบเดิมต่อไป


มันเริ่มจากความคิดในสมอง ระบบการจดจำ ระบบการวิเคราะห์ ระบบการสังเคราะห์ ระบบประมวลข้อมูล ระบบการตัดสิน ทุกอย่างเริ่มขึ้นในหัวของเราและจบตรงนั้นเสมอ เหมือนกระจกเงาที่สะท้อนสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้เห็น 

วันที่แต่งหน้าสวย    เราก็จะเห็นคนสวย
วันที่แต่งหน้าตลก    เราก็เห็นตัวตลก
วันที่ไร้เครื่องสำอาง เราก็เห็นหน้าอันเปลือยเปล่า

กระจกเพียงบานเดียว กลับทำให้เรารู้ว่า ความคิดของเราสะท้อนทุกสิ่ง แม้ว่าเราจะเปลี่ยนกระจกกี่บานก็ตาม สิ่งที่เรามองเห็นในโลกแห่งเงา ก็ไม่เคยแตกต่างได้เลย ถ้าเรายังคงเป็นและทำในรูปแบบเดิม มันไม่ได้เกี่ยวกับกระจกที่ไม่เลอค่าพอ แต่มันคือความคิดของเราที่เลอค่า

โลกในกระจกเงา ถูกสร้างจากโลกของเรา เมื่อเราเป็นผู้สร้างเงาสะท้อน เราก็เป็นเพียงผู้เดียวที่จะปรับให้โลกนั้นสวยงาม น่าสนใจ มีพลังได้ในรูปแบบไหน  รูปแบบที่เราเลือกที่จะสะท้อนออกมา ให้ทั้งตัวเราและผู้อื่นมองเห็น

Wisdom My Way

#ความคิดเติบโต #Millionaire #Mindset #โลกภายในสร้างโลกภายนอก #ความสำเร็จ

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 15 กลับมาไม่เหมือนเดิมแม้สมอทอดลง

ความอ่อนเพลียพาหลับลึก ไร้ซึ่งการเหนี่ยวรั้งเปลือกตาให้เปิดขึ้น

ตึ้ง.....แรงกระแทกยามล้อเครื่องบินสัมผัสพื้นผิวปลุกฉันตื่นจากความเหนื่อยล้า อาการหลับอย่างไร้สติมักเกิดขึ้นตอนเดินทางกลับบ้านทุกครั้ง ฉันมักสังเกตุตัวเองเสมอว่า ทุกการเดินทางมักเกิดขึ้นพร้อมพลังและความตื่นเต้น และหลับอย่างโงนเงนครั้นเดินทางกลับ ทำให้เห็นถึงความแตกต่างของพลังการขับเคลื่อนชีวิตอย่างชัดเจน


วันที่ต้องใช้ชีวิตแบบเว้นระยะ การแยกห่างจากสังคม ความเครียดและวิตกกังวลถาโถม เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม แม้ไม่ใช่คำที่ใช้บ่อยนัก แต่ทำให้เรียนรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ต้องฝืนทำจนร่างกายและจิตใจเริ่มปรับให้ใช้ชีวิตอย่างคุ้นด้วยความสงบนิ่งและแยกห่าง 

ภาพคุ้นตาของความว่างเปล่า เงียบสงบ ดูเหมือนกำลังจะเลือนจางหายไป ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิต การนั่งรับประทานในร้านอาหาร การพบปะสังสรรค์ การเดินทาง เริ่มกลับมาอีกครั้ง เป็นความรู้สึกลึกซึ้งในใจของการถูกสั่นคลอนอีกครั้ง ครุ่นคิดว่าจะมีใครคิดหรือรู้สึกเช่นเดียวกันไหม


ชีวิตรูปแบบเดิม การจับจ่ายซื้อสินค้าเป็นเรื่องที่ชื่นชอบ ฉันหวังอย่างยิ่งที่จะให้บรรยากาศการซื้อขายกลับมาเป็นเหมือนเดิม ความชื่นใจที่เห็นร้านค้าเปิดตัว แม้จะสามารถเปิดได้บางร้าน ผู้คนนั่งรับประทานอาหารเบาบางตา ไม่ว่าสายตาจะเห็นความจริงอย่างไร ภายในใจกลับเอนเอียงและเข้าข้างเศรษฐกิจประเทศไทยว่า กำลังกลับเข้ามาสู่ปกติอีกครั้ง และในไม่ช้า ระบบการหมุนเวียนของกระแสเงินจะไหลอย่างสะดวกเหมือนเส้นเลือดในร่างกาย 

เป็นที่ประจักษ์ชัดถึงความหลอกหลวงความรู้สึก เมื่อเครื่องแตะพื้นแผ่นดิน ฉันแน่ใจมากว่าเต็มไปได้ความหดหู่ แม้จะสามารถทอดสมอให้จิตนิ่งเหมือนมีจุดยึดไม่ให้คลื่นอารมณ์พัดเรือให้ลอยไปได้ แต่แน่นอนว่า สมอที่ทอดลงไม่ได้ป้องกันการสั่นไหวของเรือจากกระแสน้ำที่เคลื่อนไหว ความรู้สึกที่จับได้เมื่อยามเดินเข้าสนามบินที่อดีตเคยคลาคล้ำด้วยผู้คน แต่กลับมีเพียงสายพานเส้นเดียวที่รอการหมุนเพื่อนำส่งสัมภาระผู้โดยสาร


ฉันกลับรู้สึกตัวอย่างจริงจังอีกครั้ง ว่าความกังวลยังคงไม่ห่างหายไป มันยังคงอยู่ให้รู้สึกถึงการระมัดระวังในการใช้ชีวิต การจับจ่ายซื้อของ การท่องเที่ยว การพบปะผู้คน สมอเรือของฉันยังคงปักอยู่ในโซนเฝ้าระวัง ไม่ได้ตื่นตระหนก ไม่ได้ดีใจจนเกินหน้า แต่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ยังเผื่อพื้นที่ในการคาดคะเน

ทอดสมอ คงอารมณ์
เมื่ออารมณ์แกว่งไกว 
แต่ความรู้สึกมั่นคง

Wisdom My Way

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 14 นักบุญหรือคนบาป

หยินหยาง ในด้านมืดย่อมมีจุดสว่าง ในด้านสว่างย่อมมีจุดที่มืด

หลายครั้งหลายครา การเรียนรู้จักปรัชญาของชาวจีน มักจะให้ข้อคิดที่ล้ำค่าเสมอ ฉันเคยเห็นสัญลักษณ์นี้มาตั้งแต่เด็ก อาจจะเข้าใจเองว่าเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเต๋าหรืออาจจะเป็นขงจื้อก็ได้ ฉันไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ตัวยง ฉันรู้เพียงว่าสัญลักษณ์นี้แสดงถึง ความสมดุล


สัญลักษณ์หยินหยาง เป็นสัญลักษณ์ที่ดูเหมือนเรียบง่ายแต่กลับซ่อนภูมิปัญญาอันเฉลียวฉลาด พื้นที่สีขาวก็ยังมีจุดดำ เหมือนกับการที่เราทำความดีแต่ก็ยังมีความผิดพลาดอยู่เป็นจุดเล็ก ๆ และเช่นเดียวกันในคนที่ดูเหมือนไม่มีความดีให้ปรากฏ แต่ก็ยังมีส่วนที่น่าชื่นชมเช่นกัน 

ธรรมชาติยังคงให้ความสมดุลเสมอ แม้บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่า ธรรมชาติมีความลำเอียงแต่มันอาจเป็นเพราะว่า สิ่งนั้นหรือเหตุการณ์นั้น มันไม่ได้สนับสนุนให้เราเติบโตหรือทำงานง่ายขึ้น ซึ่งความจริงแล้วในทุกสภาวะที่มีความยากลำบาก มักจะมีคนได้รับผลประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นทุกครั้ง เพียงแต่เรามักจะใช้ตัวตนของเราเป็นบรรทัดฐาน ทุกสิ่งที่ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา ความอดทน ทุกข์ทรมานแสดงออกถึงความไม่เอื้ออำนวย

เราไม่สามารถที่จะไปฟ้องร้องหรือเรียกร้องสิทธิ์อันชอบธรรมจากกฎธรรมชาติได้ มีเพียงแต่เราที่จะต้องมองหาวิธีการหรือโอกาสที่จะทำให้เรามีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงหรือความยากลำบากที่เกิดขึ้น

ในทุกวิกฤติ กลับมีทั้งผู้ที่ประสบความสำเร็จ คนที่ร่ำรวย มหาเศรษฐีใหม่ คนที่ล้มเหลว คนที่พ่ายแพ้ คนที่ยากจน ในทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติที่ยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์หยินหยาง ที่ใครจะสามารถยืนในจุดสีขาวท่ามกลางพื้นที่สีดำ

มันเหมือนกับชีวิตของเรา ที่มีประตูหลายบานให้เลือกเปิด ออก ถ้าคุณโชคดีเปิดเจอบานที่ช่วยแก้ไขปัญหา มันก็คงไม่มีอะไรที่ต้องท้าทายชีวิตอีกต่อไป แต่ถ้าหากว่าคุณเปิดมาเจอประตูที่ชื่อว่า ความล้มเหลว คุณยังกล้าที่จะลองเปิดประตูบานต่อไปอีกไหม

วิกฤติ = โอกาส + ความเสี่ยง

ปรากฏให้เห็นชัดว่า วิกฤติ เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ซึ่งเป็นสมการที่น่าสนใจ 
ถ้าโจทย์ข้อนี้ มีโอกาสที่โตมากกว่าความเสี่ยง ผลลัพธ์ที่ได้จากวิกฤตินั้น ดูเหมือนจะมีค่าเป็นบวก
แต่ในทางกลับกันถ้าโอกาสที่เห็นมีขนาดหรือปริมาณที่เล็กกว่าความเสี่ยง นั่นคงทำให้วิกฤติครั้งนั้น กลับกลายเป็นลบ

เป็นคำถามที่น่าสนใจ "จะทำอย่างไร" ให้สามารถที่จะมองเห็นโอกาสให้มากขึ้นและใหญ่ขึ้น จนสามารถชนะความเสี่ยง ความท้าทายที่เราต้องเผชิญอยู่ในโลกเพื่อให้ผลรวมของสมการนี้ ผลลัพธ์เป็นบวก ทำให้เราเติบโตและแข็งแรงอย่างยั่งยืน

Wisdom My Way

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 13 ตอบรับความแปรปรวน

วงจรของชีวิตอุบัติขึ้นอีกครั้งหลังตื่นลืมตา แล้วจบลงเหมือนเทียนดับยามหลับไหล

ฉันก้าวเดินลงบันไดสู่ห้องโถงกลาง กลิ่นกาแฟหอมลอยแตะจมูกยามเช้าจากโต๊ะอาหาร เป็นที่ชัดเจนว่า กาแฟแก้วนั้นไม่ใช่ของฉัน ในทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา อาการงัวเงียมักหายไปฉับพลันหลังอาบน้ำ แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกตื่นเต็มตาจริง ๆ กลับเป็นเครื่องดื่มสีเข้มที่มาพร้อมกลิ่นหอมแบบอโรม่า แม้รสชาติจะขมติดลิ้น แต่การได้ดื่มกาแฟกลับเติมเต็มและผลักให้ร่างกายตื่นตัว

ฉันใช้เวลาครุ่นคิดอยู่สักพัก ว่าเช้านี้จะดื่มกาแฟแบบดริปหรือจะมักง่ายดื่มกาแฟชงแบบผง มือขวาเกือบเอื้อมไปหยิบแก้วกรองกาแฟ แต่เมื่อพลันไปเห็นกาแฟบดหยาบที่รสชาติไม่ถูกใจ ความลังเลก็หยุดชะงัก แล้วผงกาแฟก็ค่อย ๆ โรยตัวลงมาอย่างเพลิดเพลินลงในแก้วของฉัน แม้ว่ารสชาติกาแฟสดกับกาแฟผงจะแตกต่างกัน ไม่เคยปฎิเสธได้เลยว่า เสน่ห์เฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ฉันต้องการตามสภาวะจิตใจ

อาหารเช้ามักมาพร้อมการรับข่าวสารผ่านทางโสตประสาท ภาพความยากลำบากและวุ่นวายของผู้คนในแต่ละประเทศในช่วงวิกฤติโรคระบาด ปัญหาทางเศรษฐกิจที่แข่งขันกันว่าประเทศไหนจะหนักกว่ากัน อุตสาหกรรมไหนจะยังคงอยู่หรือตกลงกว่าเดิม ความตึงเครียดของประชากรโลกเพิ่มทวีคูณมากขึ้น ไม่เคยมีวิกฤติการณ์ไหนที่ฉันจะรู้สึกว่า คนทั้งโลกได้หล่อหลอมและรับรู้ถึงความยากลำบากได้อย่างเข้าใจกันมากเท่าครั้งนี้


ความรู้สึกโชคดีเอ่อท่วมอยู่ในอก งานที่ยังมีให้ทำ ข้าวที่ยังมีให้กิน บ้านที่ยังมีให้อยู่ แม้การถูกจำกัดบางอย่างจะทำให้การทำงานลดลงไปบ้าง แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ความเป็นอยู่ของครอบครัวยังคงดำเนินต่อไปในเกณฑ์ที่ดี คำถามที่ยังคงวนเวียนอยู่ และยังคงไม่ได้รับคำตอบ ว่าโลกอันสวยงามปลอดภัยจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ให้ประชากรโลกได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระอย่างที่ใจต้องการ

แม้คำถามแรกนั้น ยังคงไม่สามารถมีคำตอบ แต่สำหรับอีกหนึ่งคำตอบที่ลอยมา เพื่อเฉลยมูลเหตุแห่งการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ คำตอบของคำถามที่ฉันเคยคิด เพียงแตกต่างซึ่งมุมมอง ก็ปรากฎออกมาเหมือนนักปราชญ์แสดงภูมิปัญญา คำที่ไม่ใช่เพียงการจดจำ คำที่ต้องนำไปใช้

เมื่อ "คุณภาพชีวิต แปรผันตาม สัดส่วนความสามารถในการรับมือกับความไม่แน่นอน" 
"คนที่เตรียมตัวรับมือและมีความยืดหยุ่น จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย"
แล้วความคิดก็ออกแล่น ถ้าประชากรโลกได้รู้เรื่องนี้แม้เพียงประโยคเดียว จินตนาการของฉันส่องให้เห็นภาพของชีวิตที่ยอดเยี่ยมและมีความสุข เกิดขึ้นในทุกที่

พลันให้ฉันนึกถึงหาดทรายสีขาว เม็ดทรายละเอียดอ่อน ที่ทนรับแรกกระแทกจากคลื่นที่ซัดฝั่ง ฉันไม่เคยรู้เลยว่า ผืนทรายจะรู้สึกอย่างไร เมื่อเกลียวคลื่นน้อยใหญ่ถาโถม รู้เพียงอย่างเดียวว่า ผืนทราย ทำได้ดีในการรับมือกับเกลียวคลื่นที่พัดเข้ามาอย่างไม่มีที่ติ และนี่ซินะ..... การอยู่ด้วยความรู้สึกสะดวกสบายเมื่ออยู่ในภาวะที่ไร้ความแน่นอน

"คุณภาพชีวิต แปรผันตาม สัดส่วนความสามารถในการรับมือกับความไม่แน่นอน"

Wisdom My Way

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 12 เก้าอี้ที่ว่างเปล่า

เมื่อผู้คนหายไปจากท้องถนน พื้นที่ว่างเปล่า ไร้เสียง

เอ้กอีเอ้กเอ้ก...... โฮ่ง โฮ่ง...... เอ้กอีเอ้กเอ้ก...... โฮ่ง โฮ่ง...... สลับกันแต่เช้า ปลุกฉันจากเตียงนอน นั่นไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุกของฉันหรอกนะ แต่หลังบ้านของฉันเองเป็นที่ว่างเปล่า พื้นที่ว่างเปล่า ผู้คนเริ่มยึดครองพื้นที่ไร้การดูแล ต้นไม้และพืชผักสวนครัวเริ่มถูกปลูกเพื่อเก็บผล สัตว์เลี้ยงก็มีพื้นที่กลางแจ้งให้เดินเล่น แล้วตลอดทั้งวัน เสียงต่าง ๆ ก็ลอยมาจากพื้นที่ด้านหลัง



ก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่า จะมีเสียงต่าง ๆ มากมายมาจากพื้นที่ด้านหลัง แต่การทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home แบบ 100% ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ฉันสังเกตุสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น ดูเหมือนว่า สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราเพิ่มทักษะอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การซื้อสินค้าออนไลน์ การเดินทางแบบห่างกันลดการสัมผัส การทำงานจากบ้าน แม้กระทั่งการเรียนรู้จากสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ก็ได้สร้างมาตรฐานชีวิตใหม่ให้กับผู้คนทั่วโลกอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่เดือน คำว่า New Normal กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนค้นหา และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

ความเคยชินจากการมีปฎิสัมพันธ์กับผู้คนในทุกมิติของชีวิต เหมือนการหักเลี้ยวกระทันหันแบบหักศอก พื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนก็วางเปล่า ห้องเรียนห้องสัมมนาก็เงียบลง ทุกคนกลับมาอยู่ในที่พัก บ้าน คอนโด การปรับตัวเกิดขึ้น จากความเคยชินในการต้องอยู่ในโลกแห่งการสัมผัส

การปรับตัว เป็นคำล้ำค่า ที่ปรากฎขึ้นในใจ เป็นคำที่ชัดเจนที่เห็นได้ในยุคที่เรายังมีชีวิตอยู่ มันทำให้ฉันย้อนกลับไปนึกถึงบทเรียนของการปฎิวัติทางเศรษฐกิจในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการปฎิวัติอุตสาหกรรมต่าง ๆ การเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ทีกระทบกับคนทั่วโลก สุดท้ายแล้ว ก็ยังมีคนที่รอดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เช่นกัน

แต่คนที่รอดจากเหตุการณ์สำคัญของการเปลี่ยนแปลงระดับมหภาค ระดับที่ได้รับแรงกระแทกตั้งแต่ระดับล่างสุดจนถึงระดับประเทศ กลับกลายเป็นสร้างคนที่เห็นโอกาส และพลิกฐานะตัวเองได้อย่างน่าประทับใจเช่นกัน มันคือ ปัจจัยอะไรกันแน่ ที่ทำให้คนหนึ่งคนสามารถที่จะเห็นโอกาสและพลิกหรือสร้างธุรกิจได้

ในวันที่เก้าอี้ว่างเปล่า แต่งานยังต้องเดินหน้าเพื่อให้ได้กระแสเงินสด หรือ Cash Flow มีสิ่งที่ชัดเจนคือ การปรับตัว สิ่งแรกที่จะทำให้ธุรกิจยังคงอยู่รอด ความรู้ยังถูกส่งต่อเพื่อให้เกิดปัญญาบางอย่างที่ แม้เก้าอี้จะไม่ได้ถูกใช้งานตามการออกแบบของมัน แต่ไม่แปลว่า เราจะหยุดเรียนรู้ การปรับเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันการชดเชยต่อการสูญเสีย หรือ ความล่าช้าที่เกิดขึ้นในภาวะวิกฤติ กลับการเป็นกุญแจสำคัญ ที่ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ เพื่อการอยู่รอด และถ้าเรายอดเยี่ยมกว่านั้น เราจะเติบโตจากวิกฤติ

ปรับตัว    ลงมือทำ 
ปรับปรุง  ลงมือทำ

Wisdom My Way

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 11 ความลับของความสำเร็จ ถูกเปิดออก

มันเป็นเรื่องของความเคยชิน มันเป็นมาตลอด มันเป็นวัฒนธรรม มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

เป็นอีกวันหนึ่งที่การเรียนรู้ในห้องเรียน ห้องสัมมนาดำเนินไปตั้งแต่เริ่มจนจบ ตารางเวลาของการเรียนรู้อัดแน่นอยู่ในหนึ่งวัน วันถัดไปเรียนอะไร สัปดาห์ต่อไปเรื่องอะไร ใครกำลังจะมาพูดเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นให้เราฟัง วันแล้ววันเล่าที่เราค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ที่หวังว่า.......... สักวัน ความรู้ที่ยอมจ่ายเงินอันล้ำค่านั้น จะพาเราให้ไปสู่ฝั่งฝันแห่งความสำเร็จ ความมั่งคั่ง อิสระภาพทางการเงิน อิสระภาพทางกาลเวลา

ความคิด ความเชื่อเดิมยังคงฝังอยู่แน่น การเรียนรู้คือ การลงทุน
ใช่แล้ว.....เราได้ใช้ความคิดนี้มาตลอด เงินจำนวนมากที่จ่ายออกไป หวังว่าความรู้ที่รับมาจะอยู่ในหัวของเราอีกนานเท่านาน แล้วความรู้ที่เราค่อย ๆ เก็บมาจากแต่ละที่ มันจะต้องให้ผล ออกดอกออกผลเข้าสักวัน เป็นเรื่องจริงที่เรายังใช้ความเชื่อนี้อยู่นานนับสิบปี แต่กลับไม่มีผลลัพธ์อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราใกล้เข้าสู่ความตั้งใจของเรา แม้ว่าเงินที่จ่ายออกไปเหมือนเลือดที่หลั่งออกจากร่างกาย เราก็ยังคงปล่อยให้หลั่งไหลด้วยความหวังว่า ความรู้ที่ได้รับมาจะนำมาซึ่งความสำเร็จเข้าสักวันหนึ่ง
เป็นเรื่องของเส้นผมบังภูเขา เรารู้เรื่องนี้ดี แต่กลับไม่เคยนำมาคิด แล้วนำมาปรับใช้ จนเมื่อเราตระหนักรู้เรื่องนี้ได้ เราก็ได้สูญเสียมากมายทั้งเวลาและเงิน เราได้พลาดโอกาสและจังหวะของชีวิตแบบที่เรียกย้อนคืนกลับมาไม่ได้

ใคร ๆ ก็รู้ว่า การได้อาหารดี ๆ มาสักจานหนึ่ง สิ่งแรกที่เราต้องรู้คือ สูตรอาหาร ส่วนผสม อุปกรณ์การประกอบอาหาร แม้ขาดไปสักอย่างก็คงไม่สามารถที่จะให้สมบูรณ์ได้ เราก็เลยบรรจงใช้เวลาหาสูตรอาหารที่ดีที่สุด ส่วนผสมวัตถุดิบที่เยี่ยมที่สุด อุปกรณ์ที่เหมาะที่สุดและราคาที่เราสามารถจ่ายได้

ใช่แล้ว เรามีทุกอยาก 3 สิ่งที่เราจะใช้ในการประกอบอาหารหนึ่งจาน แต่เพียงเรื่องเดียวที่จะพังความตั้งใจทั้งหมดลงไปคือ การไม่ทำอาหาร แม้เพียงอุปกรณ์และส่วนผสมแสนแพง หรือสูตรการทำอันชาญฉลาด ก็ไม่สามารถทำให้เกิดอาหารจารเด็ดขึ้นมาได้ เพียงเพราะ ไม่ลงมือทำ

เราพลาดอะไรไปในชีวิตของเราหรือใช่หรือเปล่า คำถามเกิดขึ้นในใจ เพียงแว้บเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า ความรู้อันมีค่ามากมายได้ถูกนั่งทับไว้ ถูกวางทิ้งไว้ในสมุดโน้ตเล่มไหนสักเล่มในกล่องกระดาษ แล้วคำถามก็มาอีกครั้งแบบไม่ลดละ....ฉันเก็บมันไว้ที่ไหน สมุดเล่มนั้นที่ฉันจดความรู้ไป มันมีเรื่องสำคัญมากอยู่ในนั้น ฉันต้องหามันให้เจอ ถ้าฉันหามันเจอนะ........ฉันจะลงมือทำ!!!!!!

ฟังดูเหมือนเป็นความคิดที่สายไปแล้ว เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา กับความรู้อันล้ำค่า การเรียนรู้ที่ไม่เกิดการลงมือทำ.....มันคือความสูญเปล่า แม้ว่าเราจะคิดว่า ฉันมีมันอยู่ แต่มันก็เหมือนกับการทำอาหารนั่นล่ะ
คุณมีวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยม อุปกรณ์อันเลอค่า แต่ถ้าคุณไม่ประกอบอาหาร คุณก็ไม่ได้อาหาร และคุณก็ไม่ได้กิน คุณยังคงต่อวิ่งต่อ ใช้เงินซื้อต่อไป จนกว่าคุณจะสามารถผลิตมันได้เอง จนกว่าคุณจะสามารถสร้างเงินจากความรู้ของคุณได้เอง

เรียนรู้ ลงมือทำ
เรียนรู้ ลงมือทำ
เรียนรู้ ลงมือทำ

Wisdom My Way

บทความล่าสุด

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 17 แขวนลอย

เศษละอองลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว แขวนลอยอยู่ตามการเคลื่อนไหวของน้ำ เมื่อน้ำหยุดนิ่ง แรงโน้มถ่วงจากพื้นดินพาลงมาสู่พื้นผิว ความร้อนเริ่มจาง แสงเริ...