วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 7 เดินข้ามผ่านเปลวเพลิง



แดดยามบ่าย สายลมโชยเอื่อย เสียงคลื่นซัดสาด ฉันนั่งเอนตัวเหยียดขายาวออกไปอย่างผ่อนคลายอยู่บนเก้าอี้ไกวสีขาวเข้าบรรยากาศชายทะเล เก้าอี้แกว่งไกวเบาๆ หนังสือเล่มโปรดในมือ พาตัวฉันตัดออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

การอ่านดำเนินไปเรื่อยๆ ดั่งไร้กาลเวลา เสน่ห์ของการอ่านหนังสือ คือการได้บริหารจินตนาการ ผ่านตัวอักษร ที่นักเขียนได้เรียงร้อยถ้อยคำผูกเรื่องราวเข้าด้วยกัน แล้วฉันก็หลงอยู่ในเรื่องราวนั้น ดุจดั่งเขาวงกตที่ไร้ทางออก

เก้าอี้ไกวเบาๆ ดึงฉันให้ย้อนกลับไปถึงวัยเด็ก การนอนในเปลที่แกว่งไกว ช่างเพลิดเพลิน แล้วเด็กน้อยก็หลับไป ตอนนี้ ฉันก็เหมือนอยู่ในห้วงเวลานั้นอีกครั้ง เปลี่ยนจากเสียงเพลงขับกล่อม เป็นจินตนาการจากตัวหนังสือที่พาฉันเคลิบเคลิ้มแล้วผลอยหลับไป

พล๊อก..... หนังสือในมือล่วงหล่นไปที่พื้น ฉันค่อยๆลืมตาช้าๆ เอื้อมมือออกไปหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ แต่เพียงอ่านผ่านไปได้สองหน้า บรรยากาศแสนสบาย พาฉันเข้าสู่การหลับใหลอีกครั้ง

ดวงตาแห่งความสดชื่นหลังการพักผ่อนอย่างเต็มที่ได้ถูกเปิดเผย มองออกไปทางชายหาด พระอาทิตย์ดวงใหญ่สีแดงส้ม กำลังเคลื่อนตัวลงต่ำ เลื่อนไหลลงช้าๆ เพื่อไปทักทายท้องทะเล ภาพมุมกว้างน่าประทับใจสุดลานสายตา จากขอบฟ้าแตะขอบทะเล ถ้ามีกรอบภาพอยู่ในมือ ฉันจะวางทาบลงบนอากาศ บันทึกเก็บไว้

ค่ำนี้เราก่อกองไฟที่ริมชายหาด อากาศไม่ได้หนาวแม้เพียงสักนิด แต่การได้นั่งบนผืนทรายและกองไฟ เป็นการสร้างมิติความทรงจำที่ยอดเยี่ยม การผูกติดความรู้สึกกับประสบการณ์ไว้ที่บางสิ่งบางอย่าง เมื่อเราได้เห็นหรือสัมผัสกับสิ่งนั้นอีกครั้ง ความคิด ความทรงจำ ความรู้สึก จะถูกดึงกลับมาได้โดยง่าย

การเห็นเปลวไฟและเสียงแตกเปรี๊ยะของฟืน ดึงฉันกลับสู่ห้วงเวลาของการเดินลุยไฟครั้งแรกของฉัน การเดินลุยไฟครั้งนั้น สร้างบทเรียนให้ฉันหลายเรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ ประสบการณ์ก่อเกิดความรู้เป็นเรื่องจริงสำหรับฉัน

ฉันถูกดึงย้อนกาลเวลากลับไปสู่ห้องอบรมอีกครั้ง เช้าวันแรกก็ต้องรับรู้ว่า ค่ำคืนนี้จะต้องเดินลุยไฟ หนึ่งในกิจกรรมการก่อเกิดตัวรู้ หัวใจของฉันเต้นแรงราวกลองรัว ความกลัวระคนความตื่นเต้นคละเคล้ากัน แล้วดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆจนฉันกลัวว่าคนที่นั่งข้างๆจะได้ยินเสียงหัวใจของฉันเต้นทะลุผ่านช่องอกออกไป

การเตรียมตัวจากผู้นำก็เริ่มขึ้น การฝึกซ้อมความพร้อมของจิตใจก็มีขึ้นอย่างไม่ลดละ ใครกันจะอยากโดนเปลวเพลิงเผาไหม้ เสียงซักซ้อมดังกึกก้อง ไม่มีใครใส่ใจใคร โฟกัสมาที่ความคิดของตัวเอง

ความกลัวไม่เคยหายไปไหน แม้เวลาจะผ่านไปเกินค่อนวันแล้วก็ตาม ความตื่นเต้นก็เหมือนมาล้อเลียนอย่างไม่ลดละ เปลวเพลิงตรงหน้าและทางเดินยาวขนาด  6 เมตร พร้อมแล้วสำหรับผู้กล้า ฉันมองเห็นผู้คนด้านหน้าเดินผ่านถ่านสีแดงบ้างเทาบ้างคละกันไปทีละคน เมื่อความแดงลดลง ทีมงานก็เริ่มเกลี่ยถ่านที่ติดไฟเพิ่มบนทางเดิน

ตอนนี้ฉันยืนอยู่หน้าทางเดินแห่งไฟแล้ว ไม่มีทางที่จะหนีไปไหน มองไปที่ปลายทางคือเป้าหมายใหญ่ของชีวิต ทางเดินคือหญ้าเย็นเปียกที่ถูกสร้างในจิตใจ

ฉันก้าวเท้าซ้ายไปเหยียบถ่านแดงก้าวแรก ความอุ่นร้อนวูบขึ้นมาที่ส้นเท้าในทันที แล้วเท้าขวาก็ก้าวตามเข้ามาบนเส้นทาง การเดินอย่างสอดคล้อง ความมุ่งมั่น ความมั่นคง พาฉันเดินก้าวผ่านทางเดินแห่งไฟมาได้อย่างปลอดภัย ไร้ซึ่งความรู้สึกร้อนใดๆ การเฉลิมฉลองกับเพื่อนที่เดินผ่านกองเพลิงมาแล้วก็เกิดขึ้น

ฉันเหลียวหลังกลับไปดูทางเดินแห่งไฟอีกครั้ง ความกลัวสูญหาย การตระหนักรู้เกิดขึ้น

คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่เราไม่เคยเจอ
ความกลัวเกิดจากการสร้างสรรค์ของเราเอง
ความกลัวเกิดจากความไม่รู้
และความกลัวก็ตายจากเราเมื่อเราไม่แยแส

ฉันเอาชนะความกลัวจากการมองเป้าหมายใหญ่ในชีวิต เปลวเพลิงที่เป็นดั่งอุปสรรค ถูกมองให้กลายเป็นเพียงหญ้าเย็นชื้น
จากนี้ เมื่อฉันเจออุปสรรค ฉันก็มองเป็นเพียงสนามเด็กเล่น แล้วเดินตรงไปสู่ปลายทาง

ชนะความกลัวในความคิด
ชนะจริงในชีวิต

Wisdom My Way

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 6 เดินชายหาด เจอหมู่ดาว

 ฉันสะดุ้งตัวเล็กน้อย มือเอื้อมไปลูบเส้นผมออกจากใบหน้า รู้สึกถึงความงัวเงีย เป็นการบ่งบอกถึงการสิ้นสุดการหลับใหล เสียงคลื่นซัดชายฝั่งส่งเสียงทักทายยามเช้า ซ้อนเสียงกัน คลื่นต่อคลื่น เหมือนเพลงบรรเลงที่ถูกแต่งด้วยนักประพันธ์เพลงมืออาชีพ ฉันนอนจินตนาการถึงฟองอากาศที่ม้วนตัวขึ้นมาบนชายฝั่ง นำ้ทะเลก็ถอยร่นลงไป เกลียวคลื่นลูกใหม่ก็ซัดสาดขึ้นฝั่งมาพร้อมเสียงสะท้อนกังวาลและฟองคลื่นสีขาวชวนน่ามอง





การซุกตัวใต้ผ้าห่ม บนเตียงสีขาว ช่างแสนสบาย แม้ว่าสติจะกลับคืนมาแล้ว แต่ร่างกายยังอยากนอนเกลือกกลิ้งฟังเสียงเพลงแห่งเกลียวคลื่นต่อไป แสงแดดสีทองสาดส่องด้วยความอ่อนโยนแทรกผ่านหน้าต่าง ประหนึ่งรู้ว่า มีคนซ่อนตัวอยู่บนเตียงตรงนี้ ฉันยังคงนอนปล่อยความคิดต่อไป ไร้ซึ่งความพยายามในการดันตัวลุกขึ้นมาจากเตียง


ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงจากอีกฝั่งประตูดังขึ้น ฉันค่อยๆเลื่อนตัวลงจากเตียงด้วยความเกียจคร้าน เดินผมยุ่ง ตรงไปยังประตูต้นกำเนิดเสียง เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้ประตู เสียงจากอีกฝั่งก็ดังขึ้น "ตื่นหรือยังคนขี้เซา" สิ้นสุดซึ่งการนอนแบบไร้จุดหมาย

มือบอบบางค่อยๆ เอื้อมไปจับลูกบิดประตู เมื่อประตูเปิดออก ภาพตรงหน้าคือหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม สวมเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงยีนส์ขาสั้นสีฟ้าอ่อน กระเป๋าถักเชือกป่านสุดเก๋ ดูมีชีวิตชีวาก็ยืนเผยตัวอยู่ตรงหน้า พิมพ์ผกา คือเพื่อนสมัยมัธยมของฉัน เธอเดินทางล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งวัน และนี่คือสัญญาณบ่งบอกว่า กิจกรรมวันพักผ่อนกำลังจะเริ่มขึ้น

ฉันใช้เวลาเพียง 15 นาทีในการเตรียมตัวไปเดินชายหาดยามเช้า และตอนนี้ เท้าเปลือยเปล่าของฉันก็สัมผัสกับผืนทรายขาวละเอียด เสียงคลื่นซัดสาดชัดมากกว่าการได้นอนฟังบนเตียง กลิ่นไอทะเลทะลักเข้าสู่โพรงจมูกและปอด มันช่างคุ้มค่าจริงๆ กับการทอดทิ้งความยุ่งเหยิงในเมือง เพื่อมายืนตรงจุดนี้

เราเดินกันไปเงียบๆ เพื่อเก็บบรรยากาศตอนเช้า แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักกับภาพตรงหน้า พิมพ์ผกาชี้นิ้วไปที่สุดขอบชายหาด เมื่อเห็นชายคนหนึ่ง กำลังขวางปาบางอย่างลงสู่ท้องทะเล ชายผู้นั้นเก็บอะไรบางอย่างจากพื้นทราย แล้วก็เขวี้ยงลงทะเล ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า สร้างความฉงนสงสัยให้กับนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา

เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้ขึ้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้พวกเราประหลาดใจ ปลาดาวมากมายวางตัวอยู่บนพื้นทราย น้ำทะเลที่ลงอย่างรวดเร็ว คงไม่ได้พาปลาดาวกลับสู่ท้องทะเล หรือเป็นเพราะปลาดาวเคลื่อนตัวไม่ทันกันแน่ ในใจฉันครุ่นคิด

แล้วเสียงชายหนุ่มคนนั้นก็ดังขึ้น

สวัสดีครับ ยินดีที่ได้เจอพวกคุณ พวกคุณพอมีเวลาบ้างใหม ผมอยากชวนพวกคุณพาปลาดาวเหล่านี้กลับท้องทะเล แล้วชายหนุ่มก็ก้มตัวหยิบปลาดาวจากพื้นทราย โยนกลับไปสู่ทะเล ตัวแล้วตัวเล่า ไม่มีทีท่าจะสนใจคำตอบจากพวกเรา

แต่น่าแปลก ฉันกับพิมพ์ผกาไร้ซึ่งการตอบกลับคำถามจากชายตรงหน้า แต่พวกเรากลับก้มลง เอื้อมมือผอมบางไปหยิบปลาดาว วินาทีที่สัมผัสช่างแปลกประหลาด แต่เหมือนฉันก็ไม่ได้ใส่ใจกับความรู้สึกนี้แน่ชัดว่าคืออะไร เหมือนเราต้องทำงานแข่งกับเวลา ก่อนที่แสงแดดจะแผดเผาปลาดาวเหล่านี้ ตัวแล้วตัวเล่าที่พวกเราโยนลงกลับสู่ทะเล

เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนมากมายจากที่ไหนกัน มาช่วยพาปลาดาวที่นอนกลาดเกลื่อนชายหาดกลับสู่ท้องทะเล

ความคิดก็ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มตรงหน้า มีเป้าหมายชัดเจนและยิ่งใหญ่เพื่อคนอื่น การกระทำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธา ส่งต่อไปยังผู้คนอื่นให้ได้รับรู้ เริ่มจากคนคนเดียวที่ทำสิ่งที่ดีงาม โดยไม่รู้สึกย่อท้อ และไม่แยแสว่าใครจะสนใจใหม ความตั้งใจนั้น เหมือนดั่งกระแสคลื่นที่กระทบต่อไปเป็นทอดๆ จนเกิดเป็นความพลังอันยิ่งใหญ่

เพียงแค่เรามีความมุ่งมั่น เริ่มทำและทำต่ออย่างต่อเนื่อง แม้งานของเราจะมีมากเพียงใด เราก็สามารถบรรลุถึงความสำเร็จได้ และด้วยการสนับสนุนจากผู้คนที่เห็นถึงความมุ่งมั่น เราจะยิ่งบรรลุถึงความสำเร็จได้ง่ายพร้อมด้วยกำลังใจที่เอ่อล้นไปถึงผู้อื่น

ความมุ่งมั่นและศรัทธา

Wisdom My Way




วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2562

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 5 ดื่มกาแฟหอมกรุ่นในคาเฟ่




ร้านนี้ปักหมุด ก่อนการท่องเที่ยว ฉันได้เสาะหาร้านกาแฟสุดเก๋ที่จะต้องมานั่งให้ได้ในทริปนี้ ร้านอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่มีอะไรหยุดยั้งฉันได้ ฉันเดินปรี่ตรงเข้าไปในร้าน ย่างก้าวแรกที่เข้าไป กลิ่นของกาแฟอราบิก้าก็พุ่งเข้าโพรงจมูก กระตุ้นความหลงใหลในคาเฟอีนในร่างกายให้อยากลิ้นรสกาแฟเจ้าดังแห่งนี้

ผู้คนในร้านนั่งกระจัดกระจายไปตามมุมที่ตนเองชื่นชอบ บางโต๊ะมากันหลายคน นั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน บางคนจิบกาแฟและอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ บางคนก็นั่งพิมพ์อยู่กับคอมพิวเตอร์พกพาขนาดกระทัดรัด ในใจฉันก็อยากรู้ว่าพวกเค้ากำลังอ่านอะไร กำลังพิมพ์อะไรกันอยู่ ความช่างสงสัยก็ออกมาเผยตัว

เมื่อได้ที่นั่งในร้านแล้ว พลันก็กวาดตาไปทั่ว มองหามุมถ่ายรูปสวยๆ สำหรับการนำเสนอผ่านโลกโซเชียล การแบ่งปันภาพสวยๆ สถานที่เก๋ๆ คือ ปรัชญาชีวิต
ฉันสั่งลาเต้ร้อนมาแก้วหนึ่ง ในใจครุ่นคิดถึงรสชาดกาแฟก่อนที่จะได้ลิ้มลอง ความคาดหวังก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ นั่งรอสักพัก กาแฟก็มาเสิร์ฟตรงหน้า ลาเต้อาร์ตรูปหัวใจ เห็นแล้วอมยิ้มในใจ สวยงามและน่าลิ้มลอง 

ไม่รอช้า ฉันเอื้อมมือเล็กๆผอมบางของฉันไปที่แก้วกาแฟ ตอนนี้ แก้วกาแฟอยู่ในมือของฉันแล้ว
ด้วยความร้อนของกาแฟ ฉันค่อยๆระมัดระวังในการดื่ม ยังไม่ทันที่กาแฟจะสัมผัสริมฝีปาก กลิ่นอโรม่าของกาแฟก็ซัดเข้ามาที่โพรงจมูกของฉัน สมองของฉันรับรู้ถึงการตื่นตัวทันที แล้วรสชาดขมเฝื่อนของกาแฟแต่แฝงด้วยความสุขก็ไหลเข้ามาในริมฝีปาก ลิ้นของฉันรับรู้รสชาดพร้อมกับกลิ่นหอมอย่างไร้การจำกัดกั้นกระจายไปทั่ว ความสุขประหนึ่งได้รางวัลก็เกิดขึ้น

ที่โต๊ะใกล้ๆ ฉันสังเกตุเห็นผู้คนนั่นอยู่บนโต๊ะบาร์ยาว คนที่มาเพียงลำพังกับคอมพิวเตอร์เครื่องบาง บางคนกำลังพิมพ์ บางคนกำลังอ่าน และเมื่อกิจกรรมผ่านไปสักระยะ ผู้คนก็ละทิ้งคอมพิวเตอร์เพื่อดื่มกาแฟ

ทันใดนั้น ความคิดของฉันก็ล่องลอย ประหนึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์สื่อสารกัน
การที่เครื่องเปิดอยู่ เลข 0 และ เลข 1 น่าจะยังคงสื่อสารอะไรกันบางอย่างซินะ

แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีแอปเปิ้ลโดนกัดไปคำหนึ่งก็ทักทายเพื่อนคอมพิวเตอร์ข้างเคียง
สวัสดีเพื่อร่วมโต๊ะ วันนี้เจ้านายฉันนั่งพิมพ์บทความไปสองเรื่อง ฉันรู้สึกภาคภูมิใจมาก ที่ได้เป็นคอมพิวเตอร์ของเจ้านายฉัน

แต่กลับกัน เพื่อนคอมพิวเตอร์ร่วมโต๊ะกลับทอดถอนหายใจ 
เฮ้อออออ เป็นอย่างนั้นหรือ วันนี้เจ้านายฉัน นั่งพิมพ์บ่นเรื่องผู้คนรอบตัวประกาศให้โลกรับรู้ ฉันไม่รู้สึกภาคภูมิใจกับการเป็นคอมพิวเตอร์ของเจ้านายฉันเลย

ทันใดนั้นก็มีเสียงเล็กๆ แทรกขึ้นมา ต้นเสียงมาจากปลายโต๊ะ คอมพิวเตอร์ทั้งสองก็มองเห็นแท๊บเล็ตเครื่องเล็กบอบบาง
เราเป็นเพียงแค่ทางผ่านของความคิดเจ้านาย สิ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาไม่ใช่ตัวตนของพวกเรา 
แต่เป็นสิ่งซึ่งแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของเจ้านาย อย่าได้หวั่นไหวไปข้อความที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวเรา

สิ่งภายนอก ไม่ได้ทำให้คุณค่าของเราด้อยลง
แต่เป็นความรู้สึกของเรา ที่ผูกติดและตัดสินสิ่งภายนอกที่รับมา ให้เป็นตัวเรา

Wisdom My Way

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 4 สูดกลิ่นไอทะเล ณ บ้านพักริมผา

การเดินทางอย่างยาวนาน หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่อมาถึงที่พัก ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าเหนือระดับน้ำทะเล ที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้คือริมหน้าผาสูงชัน มองลงไปเห็นทะเลสีน้ำเงินเข้มบ่งบอกถึงความลึกของระดับน้ำ สายลมที่พัดโกรกใส่ใบหน้า เส้นผมปลิวไปตามแรงลมอย่างไม่สามารถต้านทานได้ ฉันต้องรวบผมเก็บขึ้นเพื่อที่เส้นผมที่ยาวขลับจะไม่มาตีใบหน้าให้เสียอารมณ์กับการชื่นชมภาพตรงหน้า ฝูงนกนางนวลบินเล่นท้าทายแสงแดง กลิ่นไอทะเลลอยเข้ามาในโพรงจมูก ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ดื่มด่ำกับความงามเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ ช่างเป็นวันที่แสนวิเศษจริงๆ

บ้านพักตากอากาศสวยงาม ตั้งตระหง่านอยู่ที่ปลายหน้าผา
ใครนะที่สามารถหาสถานที่ คิดและออกแบบ สร้างบ้านที่สวยงามไว้ตรงนี้ได้ ในใจคิดเพียงว่า บุคคลท่านนั้น ต้องพิเศษกว่าคนทั่วไปเป็นแน่ ถึงได้สร้างสรรค์บ้านพักที่สวยงามในตำแหน่งที่ตั้งนี้ได้

บางครั้งก็อดนึกสงสัยไม่ได้เช่นกัน บ้านต้องอยู่ใกล้หน้าผาแค่ไหน ต้องสูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงใด ภาพวิวทิวทัศน์ที่ได้จึงจะงดงามหยุดโลกให้หมุนลงได้

คำถามยังคงไร้คำตอบ

การมองจากมุมสูงตรงนี้ ทำให้มองเห็นภาพที่กว้างไกล ไม่ว่าจะหันไปด้านไหน ก็ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง


หรือว่า การสร้างบ้านหลังนี้ จะซ่อนปรัชญาอะไรบางอย่าง ให้ผู้พักอาศัย ได้ตรึกตรองระหว่างพักพิง

ทุกครั้งที่หยุดคิด กลับเกิดความเงียบสงบในใจ
ช่างน่าแปลก เวลาที่อยู่ในเมืองใหญ่ เวลาที่มีความเงียบเกิดขึ้น ความคิดกลับไม่เคยหยุดเลยสักเพียงวินาทีเดียว ความคิดของคนเรานี่ก็แปลก มันไหลเข้ามาในหัวให้เพลิดเพลินกับเรื่องราวทั้งของตนเองและผู้อื่นได้อยู่เสมอ แล้วเราก็นั่งดูหนังในหัวของเราไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินขยับเข้าไปใกล้หน้าผาอีกสักหน่อย เพื่อให้เห็นเกลียวคลื่นกระทบโขดหินที่เชิงหน้าผา ช่างน่าตื่นตาตื่นใจ กับเสียงกระแทกของน้ำทะเลกับโขดหินและการกระเซ็นตัวของน้ำอย่างรุนแรง ฉันอยากขยับเข้าไปใกล้หน้าผาอีกสักนิด เพื่อจะได้สัมผัสภาพและเสียงอย่างชัดเจน

แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมาแสดงตัวอีกครั้ง ช่างเป็นความเสี่ยงเสียจริง กับการมองภาพน่าตื่นตาตื่นใจด้วยการยืนใกล้ขอบหน้าผา ชีวิตของเรา จำเป็นเพียงใด ที่จะต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงกับแค่ภาพตรงหน้านี้

หรือนี่คือปรัชญาของผู้สร้างบ้าน ที่ทิ้งไว้ให้กับผู้พักพิง

ถ้าคุณอยากเห็นภาพที่สวยงามตรึงตราใจ คุณจะต้องเสี่ยงไปยืนให้ใกล้หน้าผาที่สุด
ถ้าคุณยืนใกล้ และยังมีระยะปลอดภัยที่จะไม่ตกหน้าผา นั่นคือ คุณได้จุดยืนที่ดีที่สุด ในการชมทัศนียภาพอันตระการตาเบื้องหน้า
และถ้าคุณไม่รู้จักการสร้างระยะที่ปลอดภัยสำหรับตัวคุณเอง อาจจะไม่ใช่เพียงคุณที่ต้องสูญเสีย คนที่รักและห่วงใยคุณก็เกิดการสูญเสียด้วยเช่นกัน

ความเสี่ยงกับระยะที่เหมาะสม ช่างแยบยลเหลือเกิน

ในชีวิตของเรา เมื่อเราอยู่ในเขตความปลอดภัยหรือ Safe Zone เราก็จะไม่ได้เจอในสิ่งที่ใช่ ที่ยอดเยี่ยม
ในขณะที่เรากล้าออกจากเขตที่เราสบายใจ เราก็จะมีโอกาสเจอสิ่งที่สวยงาม 

Wisdom My Way

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 3 รางรถไฟกับไม้หมอน



การเดินทางเริ่มต้นขึ้นแล้ว เสียงหวูดของรถไฟเครื่องยนต์ดีเซลล์เผยสัญญาณให้ผู้โดยสารได้ยิน เสียงเคลื่อนตัวของรถไฟที่เอื่อยอ่อนแต่หนักแน่นค่อยๆแผดเสียงออกมา กระฉึกกระฉัก กระฉึกกระฉัก แล้วเสียงก็ค่อยๆดังขึ้น เร็วขึ้น จนผู้โดยสารไม่ทันรู้สึกกับเสียงเดินรถไฟอีกเลย เหลือเพียงความเพลิดเพลินในการมองภาพชีวิตผู้คน บ้านเรือน  ต้นไม้ ภาพข้างทาง

ทุกครั้งที่มีการหยุดรถที่สถานีระหว่างเส้นทาง แม่ค้าขายอาหาร ขนม น้ำดื่ม ก็รีบพากันขึ้นมานำเสนอสินค้า บริการผู้โดยสารให้ได้มีอาหารรับประทานกัน

เมื่อรถไฟออกเคลื่อนตัวอีกครั้ง ภาพสถานีและตัวเมืองก็เริ่มเคลื่อนห่างออกไป มันไม่ใช่เมืองที่หนีหายจากเรา แต่เป็นเราที่ออกตัวห่างจากเมืองไป การนั่งรถไฟมีเสน่ห์อย่างหนึ่ง เมื่อรถไฟเคลื่อนผ่าน สายลมปะทะหน้า ความคิดของเรายิ่งถูกปลดปล่อยออกมา ยิ่งเมื่อเห็นภาพสวยๆตรงหน้า จินตนาการก็แหวกออกมาให้เห็นตัวตน

แล้วความคิดก็ล่องลอยออกไป เบาเหมือนปุยเมฆ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถไฟกำลังจะจอดสถานีต่อไป พลันสายตาก็เหลือบไปมองรางรถไฟที่วางตัวทอดขนานกัน แล้วก็รู้สึกทึ่งกับไม้หมอนที่วางเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ถ้ารางรถไฟบิดๆเบี้ยว ไม้หมอนวางตัวอย่างเกเรล่ะก็ เราคงเดินทางไปไม่ถึงจุดหมายเป็นแน่

ใช่แล้วล่ะ เส้นทางเดินรถไฟถูกสร้างมาจากสภาพพื้นผิวที่แตกต่างกันทั้งดิน หิน ทราย แต่ด้วยความอัจฉริยะของมนุษย์ เส้นทางเดินรถไฟ ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการคมนาคมและการขนส่ง การสร้างทางรถไฟสักเส้น จะต้องมีการวางแผน กำหนดระยะเวลา ศึกษาภูมิประเทศ และอีกมากมาย กว่าจะสามารถเดินรถไฟได้จริง

และด้วยตัวรถไฟเอง ก็มีน้ำหนักไม่ใช่น้อย พื้นที่รองรับรางรถไฟและตัวรางรถไฟต้องมีความแข็งแกร่งอย่างมาก

เปรียบเหมือนมนุษย์เรา การที่จะไปถึงเป้าหมายก็ต้องเจออุปสรรค ต้องสร้างเส้นทางการเดิน สร้างพื้นฐานองค์ความรู้ของ เพื่อจะเอามาใช้ในชีวิตจริงได้ เพราะในชีวิตของเรา ต้องเผชิญกับด่านทดสอบมากมาย เหมือนการแล่นของรถไฟ

เพียงไม้หมอนอันเดียวที่เกเร รถไฟก็อาจจะคว่ำได้

ชีวิตของเรา อาจจะไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แต่เราต้องจัดเรียงสิ่งต่างๆในชีวิตของเราให้เป็นระเบียบ ให้ใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างดี เมื่อเผชิญกับสิ่งท้าทายใหม่ ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยความสำเร็จ

ถ้าวันหนึ่งเราต้องเลือกว่าสิ่งที่เราทำนั้น คือแกนหลักในชีวิต หรือเป็นเพียงปัจจัยให้เราดูดีขึ้น ลองประเมินดูว่าสิ่งนี้ คือไม้หมอนหรือเปล่า 
ถ้าไม่ใช่ เป็นเพียงแค่กิ่งไม้ที่สุมบนรางรถไฟ เราก็เพียงแค่ปัดมันออกไป ชีวิตของเราจะไม่ถูกกระทบเลย หรือถ้าจะถูกกระทบ ก็เพียงเล็กน้อย ชีวิตของเราจะไม่ซัดเซ
ถ้าใช่ สิ่งนี้คือไม้หมอน แล้วเราตัดมันทิ้งไป หรือทำแบบไม่เต็มความสามารถ ผลกระทบมันจะไหลเข้าเป็นโดมิโน แล้วเราก็จะรู้สึกว่า เราถูกซัดด้วยวิบากโลก

ทุกครั้งที่เราต้องเลือก ว่าสิ่งที่เราทำอยู่สำคัญกับชีวิตใหม ไม่ต้องทำทุกอย่างในชีวิต แค่เลือกทำในสิ่งที่สำคัญกับชีวิต 

รางรถไฟกับไม้หมอน

Wisdom My Way

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2562

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 2 ข้ามผ่านความยุ่งเหยิง วุ่นวาย



มองลงมาจากตึกสำนักงานชั้น28 เสียงพิมพ์คอมซ้อนกับเสียงสนทนาของผู้คนใกล้เคียงคล้ายเป็นเสียงเพลงคลอเบาๆบรรเลงไปพร้อมภาพด้านล่างที่มีผู้คนเดินขวักไขว้อย่างไร้ระเบียบจากมุมสูงตรงนี้ผู้คนด้านล่างดูตัวเล็กเหมือนมดตัวน้อยๆเดินบนพื้นพลันสายตามก็มองมาตรงทางข้ามริ้วขาวผู้คนต่างพากันเดินข้ามถนนดูชุลมุนบางคนก็รีบข้ามจนเกือบชนคนที่เดินสวนมาจากทิศตรงกันข้าม 

พลางก็นึกถึงทางข้ามที่ญี่ปุ่นผู้คนมากมายข้ามถนนมีริ้วทางข้ามมากมายซ้อนเส้นทางไปมาผู้คนก็ดูเดินกันวุ่นวายแต่ละคนก็ข้ามไปถึงจุดหมายเหมือนกัน

พลันก็ทำให้คิดถึงชีวิตคนเราหลายครั้งจะได้รับฟังการกล่าวอ้างถึงชีวิตของตนอันวุ่นวานยุ่งยากแสนลำบากบางคนผ่านความยุ่งเหยิงของชีวิตมาได้อย่างสบายบางคนผ่านมาได้ด้วยความยากลำบากบางคนต้องมีคนช่วยสนับสนุนถึงจะผ่านได้แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งยังวนอยู่ในความยุ่งเหยิงและรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ผ่านได้และกลุ่มสุดท้ายคือยังอยู่กับความยุ่งเหยิงและความพัง

บางครั้งอากาศที่เราหายใจเข้าไปแล้วทำให้เราอยู่รอดอากาศนั้นไม่ได้มีเพียงออกซิเจนเท่านั้นแต่ยังมีธาตุอื่นๆรวมถึงฝุ่นละอองและเชื้อโรคต่างๆเพียงแต่ตาเปล่าของเรามองไม่เห็นการจะแยกฝุ่นออกจากอากาศอาจจะต้องใช้เครื่องมือในการกรองเอาสิ่งที่มีอนุภาคใหญ่ๆออกไปให้เหลือเพียงอากาศที่บริสุทธิเท่านั้น

ความคิดของคนเราก็เหมือนกันมีหลายสิ่งมากมายปะปนในหัวของเราแล้วมันทำให้เราสับสนมองโลกแบบที่ไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นแล้วตัวกรองทางความคิดคืออะไร

เหมือนการเดินฝ่าฝูงชนและข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามสิ่งที่เราต้องมีคือเป้าหมายและความมุ่งมั่นเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเราต้องข้ามไปฝั่งตรงข้ามให้ได้ฝูงชนที่เป็นอุปสรรคตรงหน้าไม่อาจหยุดยั้งความมุ่งมั่นหรือFocus ของเราไปได้

ความมุ่งมั่นเป็นหนึ่งในอาวุธของเราที่จะพามนุษย์ไปสู่งเส้นชัย

เวลาที่เราเดินทางท่องเที่ยวการมองทิวทัศน์ตรงหน้ามองรวมๆก็สวยดีแต่บางอย่างที่เราอยากเห็นอย่างชัดเจนเราคงต้องอาศัยการมองอย่างเจาะจงการFocus จึงจะทำให้เราเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน

การเดินทางที่มองแบบเบลอๆก็อาจจะไปถึงได้แต่จะดีและเร็วกว่าใหมถ้าการเดินทางของเรามันชัดเจนและเส้นทางที่เราเดินทอดยาวตรงไป

Focus

Wisdom My Way

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562

การเดินทางแห่งปัญญา ตอนที่ 1 เมื่อภาพและเสียงกระทบ มนุษย์ไม่เห็นสิ่งที่เป็นเบื้องหน้า



ฉันยืนอยู่ที่ไหนในโลกกันแน่ ภาพตรงหน้าช่างสวยงาม ทะเลสาบเบื้องหน้า แสงอาทิตย์ที่ทาบทาลงบนผิวน้ำ แนวทิวเขาที่วางตัวเป็นฉากหลังของภาพ ความสงบที่รายล้อมอยู่ หันไปทางไหนก็เห็นเพียงธรรมชาติที่สวยงาม เสียงลมที่พัดเอื่อยๆ ความเย็นสดชื่นที่ปะทะบนใบหน้า ช่างเหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ถ้าคนอีกโลกหนึ่งของฉันได้รู้ได้เห็น คงมีใครบางแอบอิจฉาความสุขสงบและภาพทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้าเป็นแน่

ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ชีวิตของฉันยังวุ่นวายอยู่กับงานประจำ เสียงคำวิจารณ์ที่ผ่านเข้ามาจากบุคคลเพียงคนเดียว ส่งตรงมาให้รับรู้ แต่ไม่เคยมีแม้สักครั้ง ที่จะอยากรู้ว่า ถ้อยคำต้นทางกล่าวไว้ว่าอย่างไร มันเป็นเพียงคำพูดที่ผ่านการกลั่นกรองมาจากผู้รับสารแล้วเพียงเท่านั้น ถ้อยคำต้นทางอาจจะไม่ได้มีความหมายเชิงบวกหรือลบใดๆ หรืออาจจะเป็นแค่คำบ่นออกมาเพื่อสร้างปฎิสัมพันธ์ในกลุ่มก็เป็นได้

ฟังแล้ว ได้ยินแล้ว วางคืนแล้ว

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่จะมีระบบบันทึกความทรงจำและความรู้สึก เมื่อได้รับภาพและเสียงเข้ามาผ่านประสาทสัมผัส กลไกของมนุษย์ก็จะทำการคิด วิเคราะห์ ตีความ รู้สึก และให้การกระทำบางอย่างออกมา เมื่อเราได้รับประสบการณ์นั้นซ้ำๆ ข้อสรุปนั้น จะถูกบันทึกเข้ามาอยู่ในจิตใต้สำนึก ไหลตรงเข้าสู่จิตใจ หล่อหลอมให้เกิดความคิดใหม่ พฤติกรรมใหม่ นิสัยใหม่

มีทั้งการสร้างที่เป็นบวก การสร้างที่เป็นลบ เพื่อคงความสมดุลของธรรมชาติ แต่เมื่อกฎของธรรมชาติที่มีแรงโน้มถ่วงและแรงดึงดูด เมื่อน้ำไหลจากที่สูงลงมาสู่ที่ต่ำได้ง่ายกว่า ความคิดและจิตใจของมนุษย์เราที่ไม่อาจฝืนสติปัญญาจึงต้องไหลลงไปด้วยความง่าย คึกคะนอง และด้วยความอยากเป็นที่ยอมรับ

แล้วเราจะหลุดจากวัฎจักรนี้ไปได้อย่างไร

คำถามแห่งปัญญาก็ปรากฎ
ต้องมีคำถามที่ดีก่อน แล้วจะมีคำตอบที่ดี

เมื่อมนุษย์เราสะสมประสบการณ์ทั้งด้านบวกและลบตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน การคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจจึงเกิดจากความรู้และประสบการณ์

มนุษย์ ได้มองเห็นสิ่งตรงหน้า ในแบบที่มันเป็นใหม
มนุษย์ ได้ให้คำวิจารณ์ในสิ่งตรงหน้า ก่อนที่จะได้รู้จักหรือเปล่า
มนุษย์ ได้ตัดสินใครบางคน จากเรื่องเล่าของผู้อื่นหรือไม่
มนุษย์ รู้สึกโกรธเกลียดใครที่เราไม่ได้รู้จัก แต่เพียงได้ยินข่าวที่ขายออกมาใหม

เมื่อเรามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในแบบที่สิ่งนั้นเป็น ปัญญาจะบอกกับเราว่า
สิ่งตรงหน้า          คือ สิ่งๆนั้น
บุคคลตรงหน้า    คือ คนๆนั้น
เสียงที่ได้ยิน       คือ เสียงๆนั้น
ข้อความที่ส่งมา  คือ ข้อความๆ นั้น

คำถามแห่งปัญญา
เราเห็นอะไร เราได้ยินอะไร สิ่งนั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไร เราตีความกับสิ่งนั้นว่าอย่างไร

เราได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งนี้หรือไม่ ถ้าไม่ทำให้เราเติบโตหรือพัฒนาขึ้น วางทิ้งไป

เราได้สิ่งล้ำค่าอันประเสริฐ จงเก็บไปตรึกตรองและนำไปใช้ แบ่งปันให้ผู้อื่นต่อไป

เราคือสิ่งที่คิด

Wisdom My Way

บทความล่าสุด

การเดินทางของปัญญา ตอนที่ 17 แขวนลอย

เศษละอองลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว แขวนลอยอยู่ตามการเคลื่อนไหวของน้ำ เมื่อน้ำหยุดนิ่ง แรงโน้มถ่วงจากพื้นดินพาลงมาสู่พื้นผิว ความร้อนเริ่มจาง แสงเริ...