แดดยามบ่าย สายลมโชยเอื่อย เสียงคลื่นซัดสาด ฉันนั่งเอนตัวเหยียดขายาวออกไปอย่างผ่อนคลายอยู่บนเก้าอี้ไกวสีขาวเข้าบรรยากาศชายทะเล เก้าอี้แกว่งไกวเบาๆ หนังสือเล่มโปรดในมือ พาตัวฉันตัดออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
การอ่านดำเนินไปเรื่อยๆ ดั่งไร้กาลเวลา เสน่ห์ของการอ่านหนังสือ คือการได้บริหารจินตนาการ ผ่านตัวอักษร ที่นักเขียนได้เรียงร้อยถ้อยคำผูกเรื่องราวเข้าด้วยกัน แล้วฉันก็หลงอยู่ในเรื่องราวนั้น ดุจดั่งเขาวงกตที่ไร้ทางออก
เก้าอี้ไกวเบาๆ ดึงฉันให้ย้อนกลับไปถึงวัยเด็ก การนอนในเปลที่แกว่งไกว ช่างเพลิดเพลิน แล้วเด็กน้อยก็หลับไป ตอนนี้ ฉันก็เหมือนอยู่ในห้วงเวลานั้นอีกครั้ง เปลี่ยนจากเสียงเพลงขับกล่อม เป็นจินตนาการจากตัวหนังสือที่พาฉันเคลิบเคลิ้มแล้วผลอยหลับไป
พล๊อก..... หนังสือในมือล่วงหล่นไปที่พื้น ฉันค่อยๆลืมตาช้าๆ เอื้อมมือออกไปหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ แต่เพียงอ่านผ่านไปได้สองหน้า บรรยากาศแสนสบาย พาฉันเข้าสู่การหลับใหลอีกครั้ง
ดวงตาแห่งความสดชื่นหลังการพักผ่อนอย่างเต็มที่ได้ถูกเปิดเผย มองออกไปทางชายหาด พระอาทิตย์ดวงใหญ่สีแดงส้ม กำลังเคลื่อนตัวลงต่ำ เลื่อนไหลลงช้าๆ เพื่อไปทักทายท้องทะเล ภาพมุมกว้างน่าประทับใจสุดลานสายตา จากขอบฟ้าแตะขอบทะเล ถ้ามีกรอบภาพอยู่ในมือ ฉันจะวางทาบลงบนอากาศ บันทึกเก็บไว้
ค่ำนี้เราก่อกองไฟที่ริมชายหาด อากาศไม่ได้หนาวแม้เพียงสักนิด แต่การได้นั่งบนผืนทรายและกองไฟ เป็นการสร้างมิติความทรงจำที่ยอดเยี่ยม การผูกติดความรู้สึกกับประสบการณ์ไว้ที่บางสิ่งบางอย่าง เมื่อเราได้เห็นหรือสัมผัสกับสิ่งนั้นอีกครั้ง ความคิด ความทรงจำ ความรู้สึก จะถูกดึงกลับมาได้โดยง่าย
การเห็นเปลวไฟและเสียงแตกเปรี๊ยะของฟืน ดึงฉันกลับสู่ห้วงเวลาของการเดินลุยไฟครั้งแรกของฉัน การเดินลุยไฟครั้งนั้น สร้างบทเรียนให้ฉันหลายเรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ ประสบการณ์ก่อเกิดความรู้เป็นเรื่องจริงสำหรับฉัน
ฉันถูกดึงย้อนกาลเวลากลับไปสู่ห้องอบรมอีกครั้ง เช้าวันแรกก็ต้องรับรู้ว่า ค่ำคืนนี้จะต้องเดินลุยไฟ หนึ่งในกิจกรรมการก่อเกิดตัวรู้ หัวใจของฉันเต้นแรงราวกลองรัว ความกลัวระคนความตื่นเต้นคละเคล้ากัน แล้วดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆจนฉันกลัวว่าคนที่นั่งข้างๆจะได้ยินเสียงหัวใจของฉันเต้นทะลุผ่านช่องอกออกไป
การเตรียมตัวจากผู้นำก็เริ่มขึ้น การฝึกซ้อมความพร้อมของจิตใจก็มีขึ้นอย่างไม่ลดละ ใครกันจะอยากโดนเปลวเพลิงเผาไหม้ เสียงซักซ้อมดังกึกก้อง ไม่มีใครใส่ใจใคร โฟกัสมาที่ความคิดของตัวเอง
ความกลัวไม่เคยหายไปไหน แม้เวลาจะผ่านไปเกินค่อนวันแล้วก็ตาม ความตื่นเต้นก็เหมือนมาล้อเลียนอย่างไม่ลดละ เปลวเพลิงตรงหน้าและทางเดินยาวขนาด 6 เมตร พร้อมแล้วสำหรับผู้กล้า ฉันมองเห็นผู้คนด้านหน้าเดินผ่านถ่านสีแดงบ้างเทาบ้างคละกันไปทีละคน เมื่อความแดงลดลง ทีมงานก็เริ่มเกลี่ยถ่านที่ติดไฟเพิ่มบนทางเดิน
ตอนนี้ฉันยืนอยู่หน้าทางเดินแห่งไฟแล้ว ไม่มีทางที่จะหนีไปไหน มองไปที่ปลายทางคือเป้าหมายใหญ่ของชีวิต ทางเดินคือหญ้าเย็นเปียกที่ถูกสร้างในจิตใจ
ฉันก้าวเท้าซ้ายไปเหยียบถ่านแดงก้าวแรก ความอุ่นร้อนวูบขึ้นมาที่ส้นเท้าในทันที แล้วเท้าขวาก็ก้าวตามเข้ามาบนเส้นทาง การเดินอย่างสอดคล้อง ความมุ่งมั่น ความมั่นคง พาฉันเดินก้าวผ่านทางเดินแห่งไฟมาได้อย่างปลอดภัย ไร้ซึ่งความรู้สึกร้อนใดๆ การเฉลิมฉลองกับเพื่อนที่เดินผ่านกองเพลิงมาแล้วก็เกิดขึ้น
ฉันเหลียวหลังกลับไปดูทางเดินแห่งไฟอีกครั้ง ความกลัวสูญหาย การตระหนักรู้เกิดขึ้น
คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่เราไม่เคยเจอ
ความกลัวเกิดจากการสร้างสรรค์ของเราเอง
ความกลัวเกิดจากความไม่รู้
และความกลัวก็ตายจากเราเมื่อเราไม่แยแส
ฉันเอาชนะความกลัวจากการมองเป้าหมายใหญ่ในชีวิต เปลวเพลิงที่เป็นดั่งอุปสรรค ถูกมองให้กลายเป็นเพียงหญ้าเย็นชื้น
จากนี้ เมื่อฉันเจออุปสรรค ฉันก็มองเป็นเพียงสนามเด็กเล่น แล้วเดินตรงไปสู่ปลายทาง
ชนะความกลัวในความคิด
ชนะจริงในชีวิต
Wisdom My Way